วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558




 เที่ยวเกาะเชจู ไปเองได้ไม่ยาก เรามีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ไม่น่าพลาดมาแนะนำ


เกาะเชจู (Jeju Island)

หรือ “เชจูโด” เกาะเชจูเป็นที่รู้จักของคนไทยมากพอสมควรโดยเฉพาะแฟนซีรีส์เกาหลีอย่างแดจังกึมหรือ My Girl ก็จะยิ่งคุ้นหูกับชื่อนี้ เพราะมีปรากกเป็นฉากอยู่ในละครด้วยและเกาะเชจูก็ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่เป็นฉาก ในละครเท่านั้น เพราะที่นี่มีฐานะเป็น 1 ใน 9 จังหวัดของเกาหลีใต้ และแม้ใสนอดีตเกาะเชจูจะถูกจัดรรให้เป็นพื้นที่สำหรับคุมขังนักโทษโดยตัดขาดกับแผ่นดินใหญ่ แต่ปัจจุบันเกาะเชจูกลายเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ซื่อดังของเกาหลีใต้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เกาะเชจูมักเป็นที่หมายของหนุ่มสาวที่วางแผนมาแต่งงาน ฮันนีมูน หรือพักผ่อนตามประสาคนมีรักเพราะทั้งสถานที่และบรรยากาศช่างเป็นใจเสียเหลือเกิดด้วยอากาศเย็นสบายที่อุณหภูมิเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปี ในฤดูร้อนก็ไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส คู่รักและคู่แต่งงานชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีเกาะเชจูเป็นจุดหมายหนึ่งในชีวิตที่จะพากันมาฮันนีมูนให้ได้สักครั้งในเมืองไทยของเราก็มีแพคเกจทัวร์เกาหลี นำเที่ยวเกาะเชจูเพื่อตามรอยซีรีส์ดังอยู่มากมาย เรียกว่าเดินทางทริปเดียวเที่ยวได้ทั่วเกาะทุกซอกทุกมมุม
เกาะแห่งนี้อยู่ทางตอนใต้ของกรุงโซล เดินทางไปได้สะดวกเพราะมีสนามบินเป็นของตัวเอง หากนั่นเครื่องบินตรงมาจากโซลก็ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือจะเลือกนั่งเรือเฟอร์รี่มาจากเมืองอื่น ๆ ของเกาหลีใต้ก็ได้ เช่นเดียวกับที่มีเที่ยวบินตรงจากโตเกียว นาโงย่า โอซากา ฟูกูโอกะ เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงอย่างแสน
เกาะเชจูมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความสวยงามของวิวทิวทัศน์และบรรยากาศที่เงียบสงบ โดยเฉพาะมีมรดกโลกและของสวยของแปลกให้ชมมากมาย ทั้งหิน ภูเขาไฟ ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว น้ำตก และทะเลที่มีชายฝั่งยาวถึง 256 กิโลเมตร ยิ่งในปัจจุบันที่พักตากอากาศและโรงแรมีมากมายให้เลือกทั้งแบบหรูหราสไตล์ตะวันตกหรือแบบเกาหลีดั้งเดิมก็ยิ่งทำให้เกาะเชจูพร้อมสำหรับการเป็นเมืองท่องเที่ยยวที่สำคัญของเกาหลีใต้ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
ชื่อ “เชจู” ในภาษาเกาหลีมีความหมายว่า “เกาะแห่งองค์สาม” กล่าวคือเป็นที่รมของส่วนประกอบ 3 ประการ คือ หิน ลม และผู้หญิง ส่วนประกอบ 3 ประการนี้มีความหมายว่า “ลม” บนเกาะเชจูจะโบกพัดตลอดทั้งปี ในขณะที่ “ผู้หญิง” มีที่มาจากอดีตเมื่อนานมาแล้วที่ชาวเกาะเชจูเดิมยึดอาชีพทำการประมงเป็นหลัก ผู้ชายจะมีหน้าที่ออกเรือหาปลาในทะเล ผู้หญิงก็จะรออยู่บนเกาะพร้อมกับรับหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลลูกและเตรียมอาหารไว้รอดสามี แต่เพราะคลื่นลมทะเลที่ผันผวนรุนแรงทำให้ผู้ชายส่วใหญ่ถูกพายุพัดพาจมหายไปพร้อมกับเรืออยู่เสมอ เกาะแห่งนี้จึงเหลือประชากรที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด
ส่วน “หินลาวา” ก็มาจากการที่เกาะเชจูนั้นเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน ทำให้มีหินภูเขาไฟหรือหินลาวาอยุ่มากมายทั่วทั้งเกาะ และหินลาวาเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเชจู โดยเฉพาะ “ทอลฮารุบัง” (Dolharubang) หรือ “หินปู่” ซึ่งเป็นการแกะสลักหินลาวาภูเขาไฟให้เป็นรูปคนแก่ใจดีที่ชาวเชจูโบราณเชื่อว่าจะช่วงคุ้มครองคุ้มภัยให้กับสถานที่แห่งนี้

ทอลฮารุบัง
อีความเชื่อที่มีต่อทอลฮารุบังก็คือ หากใครได้ลูบท้องของทอลฮาลุบังก็จะร่ำรวยและมีโฃคลาภ หรือหากคู่แต่งงานพากันมาลูบหูทอลฮารุบังก็จะได้ลูกผู้หญิง หากลูบจมูกก็จะได้ลูกชาย ทุกวันนนี้ใครมาเที่ยวเกาะเชจู เราก็จะเห็นมาลูบทอลฮารุบังกันใหญ่ ส่วนจะลูบจุดใดก็ต้องแล้วแต่วัตถุประสงค์ส่วนตัว และทอลฮารุบังถูกแกะสลักให้มีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่เล็กเพียงแค่ 1 นิ้วไปจนถึงขนาดใหญ่เบ้อเริ่มก็มีอยู่มาก ปัจจุบันทอลฮารุบังก็กลายมาเป็นคู่ถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวไปจนหมด
การไปเยือนเกาะเชจูนั้น สิ่งที่คุ้นตานักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือการที่ได้เห็นคู่แต่งงานบ่าวสาวจูงมือกันถ่ายภาพ wedding ตามมุมที่มีวิวสาวย ๆ แต่หากถัดมาบริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะจะมีหินภูเขาไฟรูปร่างหน้าตาแปลก ๆ ให้เห็นและมีชื่อเรียกว่า “ยงดูอัม” (Yongduam Rock) หรือหินรูปหัวมงกรที่เกิดจากหินถูกกัดกร่อนโดยคลื่นลมทะเลมายาวนาน

ยงดูอัม
แต่ตามตำนานที่เล่าขานกันมายาวนานบนเกาะเชจูแห่งนี้กลับไม่ได้พูกถึงการกัดกร่อนของคลื่นลมแต่อย่างใดแต่กลับเล่าว่า ครั้งหนึ่งราชาแห่งมงกรได้สั่งให้องค์รักษ์ออกเสาะหายาอายุวัฒนะบนภูเขาฮัลลา แต่เมื่อไปถึงกลับพ่ายแพ้แก่เหล่าดวงวิญญาณที่สถิตอยู่บนภูเขานั้นจนสิ้นชีวิติอยู่ที่เกาะแห่งนี้ และได้กลายเป็นหินรูปมังกรที่มีส่วนหัวชูขึ้นสู่สวรรค์และส่วนของลำตัวจมอยู่ใต้ทะเล
บนเกาะเชจูมีวัดอยู่แห่งหนึ่ง มีชื่อว่า “วัดยัคชอลซา” หรือ “วัดแห่ง้ำศักดิ์สิทธิ์” ที่ถูกสร้างขั้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอนตอนต้น บริเวณด้านห้านของวัดจะมีโบสถ์ ภายในโบสถ์นี้จะมีพระพุทธรูปสูง 5 เมตรประดิษฐานอยู่ แต่ที่เด่นชัดมากก็ต้องเป็น “หอระฆัง” ที่มีระฆังใบใหญ่ยักษ์น้ำหนักถึง 18 ตันอยู่ภายใน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์นั้นเราจะเห็นได้ว่าอยู่ในปางที่ทรงยกพระหัตถ์ขวากุมพระดัชนีซ้ายไว้ ให้ความหมาย่าพระองค์คือศูนย์รวมหนึ่งเดียวของโลกเมื่อได้เขาไปชมภายในโบสถ์ก็จะได้พบกับจิตรกรรมฝาผนังศลิปะผสมของเกาหลีและจีนที่สวยงามมาก เป็นการบอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของชาวเกาหลีในอดีต
และก็อีกเช่นเคยที่วัดยัคชอลซาแห่งนี้เคยปรากฎเป็นฉากของซีรีส์เกาหลีขวัญใจคนไทย จึงมีหลายมุมที่ค่อนข้างคุ้นตา นอกจากนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะมีบ่อน้ำที่เชื่อกันว่า น้ำภายในบ่อนั้นเมื่อดื่มแล้วจะทำให้ผู้ดื่มเกิดสริริมงคลแก่ชีวิต เพราะฉะนั้นทั้งคนพื้นที่และนักท่องเที่ยวต่างก็ต้องแวะไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อแห่งนี้กันเกือบทุกวัน

ซองซาน อิลชุลบง

สถานที่บนเกาะเชจูไม่ได้มีเพียงเท่านี้แต่ยังมีที่น่าสนใจอีกมากมาย หากไปถึงเกาะเชจูแล้วอย่างแนะนำให้เที่วให้ครบถึงจะคุ้ม จุดแรกคือการไปชมปากปล่องภูเขาไฟที่ ซองซาน อิลชุลบง (Seongsan ilchulbong) หรือ “ยอดเขาแห่งรุ่งอรุณ” ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเกาะเชจู มีลักษณะคล้ายมงกุฎที่แผ่กว้างออกแล้วขอบโค้งขึ้นด้านบน เป็นความงามตามธรรมชาติที่โดดเด่นอยู่ริมทะเลในปัจจุบัน ความสวยงามและมหัศจรรย์ของซองซาน อิลชุลบงเข้าตายูเนสโกจนกลายเป็นหนึ่งในมรดกโลกไปแล้ว
ทางเดินขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟนี้ต้องออกแรงกันพอสมควรเพราะเป็นทางลาดชันเนินเขาสูงประมาณ 90 เมตรแต่เมื่อขึ้นไปถึงยอกเขาแล้วเราก็จะได้พบกับความงามที่ธรรมชาติสร้างไว้และแปลกตากับปากปล่องภูเขาไฟ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 600 เมตร แต่ภายในปล่องภูเขาไฟยังไม่น่ามองเท่ากับทัศนียภาพที่เห็นได้เมื่อขึ้นไปยืนอยู่บนจุดนั้น ซึ่งอยู่บนความสูงเนหือระดับน้ำทะเล 182 เมตร เพราะเราได้เห็นเกาะเชจูในระดับสูง มองไปได้ไกลสุดตา ว่ากันว่าจุดนี้คือจุดชมพระอาทิตข์ขึ้นดี ๆ นี่เอง
ซองซาน อิลชุลบงมีความหมายว่า “จุดสูงสุดที่พระอาทิตย์ขึ้น” บนปากปล่องภูเขาไฟนอกจากจะเป็นจุดวิวที่สวยที่สุดบนเกาะเชจูแล้ว ชาวเกาหลีและนักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ในวันปีใหม่ เพราะเชื่อว่าหากได้รับแสงแรกของพระอาทิตย์จากจุดนี้ก็เหมือนเป็นการได้รับพรรับปีใหม่กันเลยทีเดียว
ถัดจากจุดนี้เราไปพบกับ “ซอพจิโกจิ” (Seopjikoji) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าริมทะเล หรือจะมองอีกมุมหนึ่งซอพจิโกจิก็คอืแหลมที่ยื่นออกไปในทะเล แต่เดิมแหลมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ ต่อมาก็เริ่มมีอาคารสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้แหลมเล็ก ๆ หน้าตาธรรมดามีสีสันขึ้นว่าเดิม เพราะสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นก็เข้ากันดีกับบรรยากาศโดยรอบของเกาะ โดยเฉพาะโบสถ์คริสต์และประภาคาร หากเป็นช่วงดอกไม้บานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งด้วยแล้วยิ่งกลายเป็นฉากหลังสีเหลือทองที่สวยงามมากและเป็นฉากหลังอย่งดีสำหรับคนชอบถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ความน่าสนใจของซอพจิโกจิคือเป็นแหล่งของสวนส้มแมนดาริน ซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงของเกาะเชจู ที่สำคัญคือเป็นส้มไร้เมล็ดและเป็นส้มแมนดารินสายพันธุ์พิเสษที่ขึ้นอยู่เฉพาะที่เกาะเจจูเท่านั้น ทำให้มีราคาค่อนข้างสูง แต่ก็อร่อยรสชาติกลมกล่อมกำลังดี
นอกจากทะเลแล้วเมื่อเดินข้ามผ่าน “สะพาน 7 นางฟ้า” ก็จะได้พบกับ “น้ำตกชงจียอง” (Chonjiyon Falls) ที่อยู่ไม่ไกลกันเพราะจะตั้งอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยหินขนาดใหญ่เล็กเรียงรายกันและยังเป็นวิวยอดนิยมที่คู่ฮันนีมูนทุกคู่ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ สวนพฤกษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีนั่นคือ “เยอมิจิ” (Yeomiji Bontanical Garden) สวนพฤกษศาสตร์เยอเมจิกจะเป็นสวนกลางแจ้ง เป็นสวนกรีนเฮาส์ขนาดใหญ่ ใจกลางของสวนจะมีหาอคอยสูง 38 เมตรที่เป็นจุดชมวิวอยู่ด้านบน และทั่วทั้งบริเวณจะมีพืชพันธุ์ไม้มากมาย หรือจะเป็นเการเข้าชม “หมู่บ้านพื้นเมืองซงอับ” (Seongeup Folk Village) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านของเกาหลีไว้โดยรัฐบาล ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางด้านการปกครองของเกาะเชจูมาก่อน หากได้เดินชมในหมู่บ้านก็จะได้เห็นรูปแบบบ้านทรงโบราณของคนพื้นเมืองที่ยังเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน และมีบ้านจำนวนไม่น้อยที่สร้างด้วยหินภูเขาไฟและดินเหนียว และใช้ใบไม้หญ้าคลุมมุงเป็นหลังคา บางหลังล้อมรั้วดวยกำแพงหินอย่างแข็งแรง ที่นี่ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวเกาหลีพื้นเมืองได้เป็นอย่างดี
บนเกาะเชจูยังมี “พิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี” (Teddy Bear Museum) ซึ่งเป็นของใหม่ที่เพิ่งสร้างในปีะ พ.ศ. 2544 ที่นี่คือแหล่งรวมหมีเท็ดดี้จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศในแถบยุโรป โ่ดยภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงหมีเท็ดดี้ในทุกอิริยาบถที่น่ารักมาก ๆ และยังมีพื้นที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปและประวัติความเป็นมาของหมีเท็ดดี้ที่มีมานานเป็นร้อยปี

ไปเกาะเชจูทั้งทีก็ควรแวะไปชม พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค (O’Sulloc Green Tea Farm And Museum) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์การผลิตใบชาของชาติเกาหลี และที่นี่ยังเป็นพื้นที่ปลูกใบชาที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีอีกด้วย ซึ่งสร้าง่ขึ้นในปีเดียวกับพิพิธภัณฑ์หมีเทดดี้นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น